[Fan Fiction] Final Fantasy XV – Distain_Part II

Title: Distain

Author: Sarelrus Revena

Fandom: Final Fantasy XV

Paring: Ardyn Izunia x Ravus Nox Fleuret

Genre:Drama / Angst

Rating: PG 

Previously: Part I

Comments: ยิ่งแต่งมันยิ่งยาว ยิ่งเขียนยิ่งงอกเพิ่ม ราวกับจิตวิญญาณพี่ท่านมาลงประทับร่าง ช่วยคนแต่งด้วยค่ะ มันใกล้จะไม่ใช่ Short Fic แล้ว OTL

———————————-
:

:

:

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกมสนุกๆฆ่าเวลา

คนแบบนั้นไม่เคยเมตตาใครและไม่เคยมอบชีวิตให้ใครทั้งนั้น

สิ่งเดียวที่คนอย่างหมอนั่นทำได้คือช่วงชิงชีวิตของคนอื่นมา!

:

:

:

———————————-

ชีวิตของเขาเหมือนเป็นความฝันของเด็กน้อยยามค่ำคืน ความสุขความสดใสล้วนเป็นเพียงภาพมายาที่จะจางหายไปยามที่เด็กชายตัวน้อยลืมตาขึ้นมาเมื่อแสงอรุณทาบทับที่ขอบฟ้า

เรวุสมีชีวิตที่ขมขื่นนับตั้งแต่เขาสูญเสียพระมารดาซิลวาไปในเหตุการณ์โจมตีคฤหาสน์เฟเนสทาล่า เขาต้องสูญสิ้นทุกอย่างทั้งผู้นำครอบครัวที่คอยปกป้องพวกเขาทั้งสองคนมาโดยตลอด ต่อมาคือสถานะเจ้าชายอันสูงศักดิ์ที่เหลือเพียงเชลยภายใต้การคุมขังอย่างแน่นหนาของกองทัพ บ้านเกิดเมืองนอนของเขาตกเป็นอาณาเขตในความครอบครองของนิฟเฟลไฮม์อย่างสมบูรณ์ และสุดท้ายพวกเขาสองพี่น้องต้องสูญเสียอิสรภาพทั้งกายและใจไปอย่างสิ้นเชิง

เขามองไม่เห็นทางว่าอนาคตของตัวเองกับลูน่าเฟรย่า น้องสาวเพียงคนเดียวจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรยามที่พวกเขาปราศจากปีกของมารดาคอยคุ้มครองและชี้นำแนวทางอีกแล้ว แต่ด้วยศักดิ์ศรีของบุตรชายคนโตแห่งสายเลือดเทพพยากรณ์และความรู้สึกของการเป็นพี่ชาย เรวุสจำต้องเติบโตและก้าวข้ามความเป็นเด็กน้อยในระยะเวลาอันสั้นเพื่อลุกขึ้นมาเป็นผู้นำที่จะต้องปกป้องทุกๆชีวิตที่เหลืออยู่รอบตัวเขา

เพื่อหยุดยั้งการคุกคามจากพวกทหารกักขฬะของจักรวรรดิที่เข้ามาก่อกวนสร้างความหวาดกลัวภายในคฤหาสน์เหเนสทาล่าไม่เว้นแต่ละวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุตรีคนเล็กของตระกูลผลักดันให้เรวุสตัดสินใจเดินไปขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิอัลเดอร์แคปท์เพื่อขอเข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิด้วยตัวเอง

โลกใบนี้คือสถานที่ที่โหดร้าย นั่นคือสิ่งที่เรวุสได้เรียนรู้ การจะมีชีวิตรอดพ้นจากปากแร้งปากกาที่พร้อมจะรุมกัดกินจิกทึ้งพวกเขาอย่างไร้ความปราณีคือการที่เขาต้องขวนขวายหาอำนาจมาเป็นเกราะคุ้มภัยด้วยตัวเอง ไม่มีใครที่สามารถปกป้องพวกเขาได้หากพวกเขาไม่ลุกขึ้นปกป้องตัวเอง

การตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพของเรวุสนับได้ว่าถูกต้องและคุ้มค่ามากมาย มันสร้างความปิติยินดีอย่างยิ่งยวดให้แก่องค์จักรพรรดิที่เต็มใจรับเชลยศึกคนนี้มาเป็นคนใต้บังคับบัญชา…เพราะมันยิ่งสื่อถึงการมีอำนาจครอบครองอย่างสมบูรณ์ขนาดที่เชื้อสายเทพพยากรณ์ยังต้องยอมศิโรราบให้

เรวุสได้รับตำแหน่งที่ไม่ใหญ่โตนักทว่ามันช่วยให้เรวุสมีอำนาจพอจะขวางกั้นพวกทหารสกปรกที่พยายามเข้ามาก่อกวนและกันน้องสาวลูน่าเฟรย่าออกไปจากความวุ่นวายพวกนี้ได้ แต่มันก็แลกมาด้วยเสียงประนามหยามเหยียดอันเหลือจะพรรณนาได้ที่ต้องทนรับฟังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง…เขาถูกสาปส่งจากชาวเทเนไบร์ด้วยกันเองว่าเป็นคนทรยศที่ยอมก้มหัวเป็นสุนัขรับใช้ ยอมเป็นเบี้ยล่างให้จักรวรรดิ ในขณะที่เหล่านายทัพของนิฟเฟลไฮม์ก็เยาะเย้ยเรวุสที่ต้องตกต่ำจากตำแหน่งเจ้าชายสูงส่งมาเป็นนายทหารธรรมดาที่ยอมทำงานให้กับคนที่วางแผนฆ่าแม่ตัวเอง

ถึงอย่างไรเขาไม่สน ขอเพียงเขาสามารถสืบรู้ความเคลื่อนไหวของพวกนิฟเฟลไฮม์เพื่อที่จะได้วางแผนตั้งรับได้เรวุสก็สามารถอดทนกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น ขอเพียงพวกจักรวรรดิไม่เอื้อมมือเข้าไปแตะต้องยุ่งเกี่ยวกับลูน่าเฟรย่า ต่อให้ต้องก้มลงไปจูบรองเท้าของจักรพรรดิเอียโดลาสในท้องพระโรงเขาก็จะทำอย่างไม่นึกลังเลใจ

ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจของอดีตเจ้าชายหนุ่มผู้สืบสายเลือดเทพพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์มาตลอดนับแต่เข้าเหยียบย่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิคือตัวตนของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ทุกคนต่างเรียกขานเขาว่าท่านรัฐมนตรีแห่งจักรวรรดิ…ชายผู้นี้ไม่มีที่ไปที่มา ไม่รู้ถึงถิ่นกำเนิดอันแน่ชัด เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีผู้ใดตอบได้สักคน ทุกคนรู้เพียงแค่เขาช่างอาจหาญกล้าเดินมาเคาะประตูวังหลวงในกราเลียเพื่อบอกทหารยามว่าเขาอยากจะเข้าเฝ้าจักรพรรดิอัลเดอร์แคปท์แบบหน้าด้านๆแม้จะได้รับเสียงหัวเราะเยาะและขับไล่ไสส่งอย่างหยาบคายไม่เว้นแต่ละวันจากพวกทหารยามเฝ้าประตู จวบจนเจ้าเหนือหัวทรงได้สดับฟังข่าวลือประหลาดว่ามีชายไม่สมประกอบผู้หนึ่งขอทูลขอเฝ้าทุกวันไม่ขาดจึงสนพระทัยใครอยากรู้ว่าชายผู้นี้คือใครกันแน่

วันแรกที่ได้พบพานกัน ชายผู้นั้นต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มลึกลับที่แย้มละไมบนใบหน้าที่มีหนวดเคราหรอมแหรมพลางแนะนำตัวเองเสียงฉะฉานว่า อิซูเนีย…อาร์ดีน อิซูเนีย

ชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมสีม่วงอมแดงเหมือนไวน์องุ่นชั้นเลิศผู้นี้นิสัยปะหลาดนัก เจ้าตัวมีนิสัยสบายๆ กล้าได้กล้าเสีย ไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น อีกทั้งยังมีวาทะศิลป์ชั้นยอดในการโน้มน้าวจิตใจคนจึงไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงได้รับความโปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยจนสามารถไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งระดับสูงของนิฟเฟลไฮม์ได้อย่างรวดเร็วล้ำหน้าคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีเสียงเล่าลือกัยภายในกองทัพว่าอาร์ดีนคือผู้ที่ครอบครองศาสตร์ความรู้โบราณอันดำมืดบางอย่างที่ยากจะอธิบายทว่าเขากลับยินดีแบ่งปันความลับนั้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของจักรวรรดิ

กองทัพจักรกลอันผลิตมากจากเหล็กกล้านั้นถือเป็นหนึ่งในผลผลิตจากศาสตร์โบราณของอาร์ดีน อิซูนั้นที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดโดยนักวิจัยผู้คลั่งไคล้และเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ที่จะรังสรรค์สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยมือของตนเองนามว่า เวิร์สเทล เบซิเทีย

อาร์ดีน อิซูเนียคือตัวอันตราย…ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวของเรวุสร้องเตือนทุกครั้งที่ชายผู้นั้นเฉียดเข้ามาใกล้!

บางทีมันอาจจะเชื่อมโยงกับการที่เขามีสายเลือดของเทพพยากรณ์ไหลเวียนอยู่ในตัว ภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มแสนเป็นมิตรและวาจาสุภาพอ่อนน้อมดุจกับดักที่วางล่อลวงสัตว์ตัวจ้อยโง่เขลานั้น เรวุสรู้สึกถึงได้แรงกดดันและความเกรี้ยวกราดที่ซุกซ่อนเอาไว้…ชายผู้นี้คือคนที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตนเองวางหมากเดินไว้แม้เรวุสจะยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงตั้งใจแฝงตัวเข้าที่นี่ก็ตาม

ตัวตนของชายที่ชื่ออาร์ดีนเปรียบได้กับก้นเหวลึกที่ยากแท้จะหยั่งถึงว่าเบื้องล่างลึกสุดนั้นจะมีสิ่งใดกันที่เฝ้ารอคอยอยู่

ความลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาได้และรายล้อมไปด้วยความดำมืดที่แสนอันตรายนั้นล่อลวงความต้องการอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ทั่วไปไม่เว้นแม้แต่อดีตองค์ชายรัชทายาทแห่งเทเนไบร์

ยิ่งพยายามหักห้ามใจไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเท่าไรก็ราวกับไม่อาจควบคุมสมองของตนเองไม่ให้คิดถึงมากเท่านั้น

อย่างน้อยภาพรอยยิ้มของอีกฝ่ายกับฝ่ามือใหญ่ใต้ชุดคลุมสีดำล้าสมัยแถมยังทั้งหนักและหนาเกินความจำเป็นที่ยื่นออกมาเขาพร้อมกับคำแนะนำตัวเองด้วยท่าทีสบายๆนั้นยังคงวนเวียนในความทรงจำของเรวุสเสมอมา…

“อา ท่านไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเองหรอก ยินดีเหลือเกินที่ข้ามีโอกาสอันดีได้เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทในวันนี้….แต่ก่อนจะว่ากันเรื่องอื่นเลยขอให้ข้าได้แนะนำตัวเองสักนิด ได้โปรดเรียกข้าว่าอิซูเนีย…อาร์ดีน อิซูเนียพะยะค่ะ!!”

.

.

.

ข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้าชายน็อคทิส องค์รัชทายาทและผู้สืบทอดสายเลือดลูซิส เคลัมที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวและยังมีชีวิตรอดจากการโจมตีเมืองอินซอมเนียได้แพร่กระจายมาถึงหูของกองทัพจักรวรรดิ นอกจากนี้สายที่พวกเขาวางไว้ทั่วทุกหนทุกแห่งยังยืนยันถึงการปรากฎตัวของเทพพยากรณ์ลูน่าเฟรย่านอกเขตเมืองเลสเทลั่ม ภายหลังการล่มสลายของคราวน์ ซิตี้มีเพียงข่าวหลายสำนักออกมาประกาศว่าเทพพยากรณ์ที่ได้เดินทางไปเยือนและพำนักอยู่ในเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรลูซิสได้เสียชีวิตลงแล้วดังนั้นการที่มีคนพบเจอเธอที่เลสเทลั่มเช่นนี้ย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่แน่นอน ไม่มีใครทราบว่าเธอไปทำอะไรที่นั้นแต่สายข่าวยืนยันว่าท่านหญิงลูน่าเฟรย่าพยายามจะหาทางลักลอบเข้าไปในเขตวงแหวนแห่งคอเทส

เมื่อมีข่าวออกมาเช่นนี้แน่นอนได้ว่าฝั่งนิฟเฟลไฮม์ย่อมต้องนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้เป็นแน่แท้ การประชุมอย่างเร่งด่วนถูกจัดขึ้นพร้อมทั้งรีบติดต่อตามตัวขุนนางระดับสูงที่เดินไปทำภารกิจให้กลับมาระดมสมองกันอย่างเร่งด่วน

เรวุสสาวเท้ายาวๆมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงพลางครุ่นคิดอย่างหวั่นวิตก หลังจากที่ลูน่าเฟรย่าหลบหนีออกมาจากเมืองอินซอมเนียที่ถูกกองทัพถล่มจนยับเยินออกมาได้หญิงสาวลอบติดต่อมาหาเขาที่เดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่กราเลีย แม้ตอนนั้นเรวุสกำลังบาดเจ็บหนักจากเปลวอัคคีของแหวนแห่งลูซิสไปที่เผาผลาญแขนซ้ายทั้งแขนของเขาไปแต่เรวุสก็ไม่รอช้าที่จะช่วยเหลือครอบครัวเพียงคนเดียวของเขาอย่างสุดความสามารถ

ทว่าทั้งๆที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะซ่อนตัวน้องสาวให้พ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของจักรวรรดิแต่เจ้าหล่อนกลับใจกล้าเดินหน้าออกไปประกาศตนเองแบบนั้น…แต่จะว่ากระไรได้ อย่างไรเสียลูน่าเฟรย่าก็เป็นจุดอ่อนอย่างเดียวในใจของพี่ชายคนนี้มาตลอด เขาไม่เคยขัดใจอะไรลูน่าได้ หากน้องสาวคนนี้ประสงค์ในสิ่งใดที่ไม่เกินกว่าความสามารถของพี่ชาย เรวุสก็ยินดีช่วยเหลือเสมอมา

ตำแหน่งของเทพพยากรณ์นั้นหาใช่หน้าที่ที่สุขสบายไม่ การต้องเผชิญหน้าและเจรจาต่อรองกับเหล่าทวยเทพจองโอหังเอาแต่ใจเช่นนั้นถือเป็นงานหินสำหรับหญิงสาวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา นอกจากนี้ลูน่าเฟรย่ายังยินดีใช้พลังแห่งการรักษาที่ได้รับสืบทอดมาในสายเลือดของตัวเองเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายที่มาจากความมืดทุกคนโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆของเรวุส

บางทีเขาอาจจะตามใจลูน่าเฟรย่ามากเกินไปจนหญิงสาวมีนิสัยดื้อดึงมากกว่าที่ใครจะคาดคิด!

ชายหนุ่มลอบถอนใจก่อนจะสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์ความคิดตนเองเมื่อได้ยินสุรเสียงของจักรพรรดิเอียโดลาสตรัสถามเขาถึงเรื่องของน็อคทิสและแหวนประจำราชวงศ์ลูซิส

ช่างน่าขันยิ่งนักที่องค์พระจักรพรรดิจะทรงเลอะเลือนได้เพียงนี้ ถึงกับมีพระบัญชาให้เขาไล่ล่าและลงมือสังหารเทพพยากรณ์ลูน่าเฟรย่า น้องสาวเพียงคนเดียวของเขาเพียงเพื่อฝั่งจักรวรรดิจะได้ช่วงชิงแหวนแห่งลูซิไอที่ราชารีจิสได้ฝากฝังให้หญิงสาวของเขานำไปส่งให้ถึงมือของเจ้าชายน็อคทิสให้จงได้

จะเรียกว่าโชคดีหรือไม่เรวุสก็ไม่แน่ใจนักเมื่อเวิร์สเทลทูลขัดขึ้นว่ายังไม่สมควรสังหารเทพพยากรณ์ตอนนี้เพราะเธอนั้นสามารถสื่อสารกับเหล่าทวยเทพทั้งหกแห่งบรรพกาลได้ เวิร์สเทลเชื่อว่าลูน่านั้นคือกุญแจที่จะนำพาพวกเขาไปสู่ความลับของเวทมนตร์และความยิ่งใหญ่เทียบเท่าเทพเจ้าผู้สร้างโลกอีออสแห่งนี้ขึ้นมา หากอยากเข้าถึงความลับของเทพเจ้าโลกในอดีตกาลก็ควรนำตัวลูน่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ซึ่งเขาไม่มีทางตอบเป็นอื่นนอกจากจะมุ่งมั่นไล่ล่าตัวเจ้าชายน็อคทิสและน้องสาวกลับมา

เวิรสเทลกราบทูลถึงเรื่องของเทพเจ้าทั้งหกถวายองค์จักรพรรดิ การคาดเดาของเขามีความแม่นยำจนน่ากลัวเมื่อชายผู้นี้กล่าวสาเหตุที่ทำให้เทพพยากรณ์พยายามจะเข้าไปภายในวงแหวนแห่งคอเทส แม้ไม่แน่ใจในจุดประสงค์แต่เวิร์สเทลกมั่นใจว่าหญิงสาวต้องการจะปลุกเทพอาร์เคี่ยน ไททันขึ้นมา

เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้นทางฝั่งจักรวรรดิย่อมไม่อาจนิ่งเฉยได้ การเตรียมตัวตอบโต้จึงต้องถูกดำเนินการอย่างเร่งรีบ ทว่าทางกองทัพมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองอย่างมากว่าจะสามารถล้มไททันที่แบกอุกกาบาตอยู่กึ่งกลางวงแหวนนั้นได้ไม่ยากลำบากนักด้วยประสบการณ์รบอันโชกโชนของกองทหารร่วมกับอาวุธอันทรงประสิทธิภาพที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีมาจิเจคที่เคยใช้โค่นเทพชิวา เทพีแห่งน้ำแข็งมาก่อนแล้ว

เรวุสจำเป็นต้องเข้าร่วมการประชุมแผนการโอบล้อมนี้ด้วย ระหว่างที่เดินไปเข้าประชุมเขาถือว่าเป็นโชคร้ายของตัวเองที่ดันเดินไปพบหน้าท่านรัฐมนตรีแห่งนิฟเฟลไฮม์ผู้หายหน้าหายตาไปสักพักหลังจากเหตุการณ์ในลูซิส ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเพิ่งโดนตามตัวกลับมาแต่ก็ยังดูอารมณ์ดีมีความสุขดีกว่าการตามเข้าประชุมครั้งก่อนๆ การเย้าแหย่กวนอารมณ์และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลที่เขาพยายามหนีห่างเริ่มทำงานทันทีที่อีกฝ่ายเห็นหน้ากันและกันจนกระทั่งต้องแยกย้ายกันที่นั่งของตัวเองในห้องประชุม แม้ต้องถูกจับนั่งแยกห่างกันขนาดนั้นคนแก่จอมอู้งานก็ยังไม่วายส่งหน้าระรื่นมายั่วเย้าเขาจนได้

หน้าที่ของเขาที่ถูกสั่งการลงมาคือการโค่นเทพแห่งบรรพกาลลงและหากเจ้าชายรัชทายาทแห่งสายเลือดลูซิสปรากฎตัวขึ้นรอบๆวงแหวนนั้น เขาจะต้องกำจัดน็อคทิสและช่วงชิงแหวนแห่งลูซิไอมา ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงเหนือเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะขนาดใหญ่อันเป็นที่ทำงานใหม่ในฐานะตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพนิฟเฟลไฮม์ด้วยความอ่อนล้า มือข้างซ้ายที่บัดนี้กลับกลายเป็นเหล็กกล้ามีขุมพลังรุนแรงไหลเวียนไปมายกขึ้นลูบไล้ความแข็งกระด้างและสากระคายของเนื้อไม้ด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย

เดิมที่โต๊ะทำงานกว้างนี้เคยเป็นของนายพลกลอวก้า ยามปรกติไม่เคยมีใครที่มีโอกาสได้พบเจอท่านพลมาก่อนยกเว้นเมื่อถึงเวลาท่านนายพลจะกลับมาปรากฎตัวใต้ชุดเกราะเหล็กหนักหนาเต็มยศ แม้จะเรื่องน่าแปลกแต่ทุกคนในนิฟเฟลไฮม์กลับทำให้มันเป็นเรื่องปรกติได้แม้แต่นายทหารยศสูงหลายคนก็ไม่เคยทราบว่าใต้เกราะหนานั้นปกปิดใบหน้าของใครเอาไว้

เรวุสเองแม้จะระแวงในตัวของนายพลกลอวก้ามากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าคนนำทัพของฝั่งจักรวรรดินี้จะเป็นหนึ่งในนายทหารคนสนิทของราชารีจิสแห่งลูซิสที่มีนามว่า ไททัส ดรอโทส แต่หลังเหตุการณ์วุ่นวายในอินซอมเนียปะทุขึ้น โฉมหน้าที่แท้จริงของนกสองหัวก็ปรากฎออกมา…ที่น่าเจ็บใจคือหมอนั่นตั้งใจจะฆ่าเขากลางห้องลงนามสนธิสัญญาสงบศึกด้วยซ้ำตอนที่เขาพยายามสวมแหวนแห่งลูซิส

เสียงร้องเรียกของสุนัขดังขึ้นดึงสติของชายหนุ่มผมทองให้หลุดออกจากความคิดเหม่อลอย ม่านตาสองสีรีบมองหาต้นเสียงภายในห้องจนเห็นพรายน่า สุนัขตัวโตขนสีขาวปลอดกำลังนั่งแลบลิ้นกระดิกหางระริกให้อย่างร่าเริงอยู่ข้างๆโต๊ะทำงาน เรวุสรีบร้อนลุกจากที่นั่งแล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างๆเจ้าหมาน้อย มือเรียวเอื้อมไปปลดสาส์นที่ถูกผูกติดมาคลี่ออกอ่าน ตาคมตวัดกวาดมองตัวอักษรที่ถูกเขียนอย่างบรรจงสวยงามด้วยฝีมือของน้องสาวเขา

ข่าวคราวที่ได้รับแจ้งมาสร้างความโล่งใจอย่างมากให้กับชายหนุ่มเจ้าของนัยต์ตาสองสีเมื่อได้ทราบว่าหญิงสาวได้ออกเดินทางไปจากชานเมืองเลสเทลั่มพร้อมกับเจนเทียน่า นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภารกิจการปลุกเทพไททันที่หลับใหลมานับพันปีสำเร็จดั่งที่คาดหวังรอเพียงแค่เจ้าชายน็อคทิสเดินทางไปเพื่อรับการทดสอบและรับพลังแห่งทวยเทพ ตอนนี้เธอกำลังมุ่งหน้าไปที่ดัสแคเพื่อสวดอ้อนวอนต่อเทพแห่งสายฟ้า ฟูคูลเรี่ยน

กระดาษสาส์นแผ่นน้อยในมือของผู้บัญชาการหนุ่มขยำเข้าหากันโดยที่คนถือมันยังไม่ตัว…เรวุสนึกสงสารน้องสาวของตัวเองที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่าน้อยๆ ตัวเขาแม้เป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดเทพพยากรณ์แต่พลังในตัวที่จะใช้สื่อสารกับเทพเจ้าและพลังเยียวยานั้นอ่อนด้อยกว่าลูน่าเฟรย่ามากมายนักทำให้เขาไม่สามารถรับตำแหน่งเทพพยากรณ์ได้ แม้จะไม่เห็นด้วยที่น้องสาวจะดึงดันขึ้รับหน้าที่นี้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่งฐานะของเทพพยากรณ์นั้นก็ช่วยเป็นเกราะคุ้มภัยอีกชั้นให้กับหญิงสาวเพราะกองทัพจะได้ยังลังเลไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหากเกิดปัญหาขึ้น

ปลายปากกาขนนกตวัดเขียนอักษรเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงามร้อยเรียงถ้อยคำบนกระดาษแสดงความเป็นห่วงและบอกเล่าสถานการณ์ความเป็นไปของสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้น้องสาวได้รับทราบ ชายหนุ่มช่วยแนะแนวทางที่เธอจะสามารถใช้หลบเลี่ยงการตามหาของพวกกองทัพได้ก่อนจะนำมันกลับไปผูกติดกับพรายน่า รอยยิ้มจางๆคลี่เหนือกลีบปากบางสวยก่อนที่เรวุสจะวางมือลงบนหัวของกลุ่มก้อนขนสีขาวฟูฟ่องแล้วออกแรงขยี้มันเบาๆด้วยความเอ็นดู

“ฝากไปบอกลูน่าด้วยนะว่าฉันสบายดี ตอนนี้หลายอย่างไม่ค่อยปรกติขอให้รักษาตัวเองมากๆด้วย” พรายน่าเห่าโฮ่งขึ้นมาทีหนึ่งราวกับจะบอกได้รู้ว่ามันเข้าใจคำที่เขาฝากฝังนั้น

สุนัขขนฟูเดินหายออกไปจากห้องทำงานกว้างแล้ว ความเงียบสงัดค่อยๆโรยตัวลงมา อากาศข้างนอกค่อนข้างอึมครึม เมฆสีดำลอยตัวต่ำลงมา เสียงท้องฟ้าเริ่มคำรามลั่นก่อนที่หยาดเม็ดฝนจะร่วงหล่นมา เรวุสยืนนิ่งมองดูความเปียกชื้นที่พร่างพรายด้านนอกนิ่งนานจากหน้าต่างห้อง

เริ่มแล้วสินะ…บททดสอบแห่งรามูห์ ลูน่าทำหน้าที่ของเธอได้ดี ที่เหลือคือหน้าที่ของน็อคทิสที่จะต้องสานต่อภารกิจนี้ให้ลุล่วง แม้เขาจะไม่มีความมั่นใจในตัวเด็กหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อยแต่น้องสาวของเขากลับมีศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม เธอมั่นใจว่าน็อคทิสจะสามารถผ่านการทดสอบและรับพลังของทวยเทพเพื่อใช้มันต่อสู้กับความชั่วร้ายได้สำเร็จ

ฝ่ามือซ้ายเผลอไผลเลื่อนมือขึ้นไปจับด้ามดาบสีเงินที่สลักเสลาลวดลายงดงามประณีตที่เย็นเยียบบาดผิว…หากว่าน็อคทิสสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าคู่ควรกับตำแหน่งราชันผู้ถูกเลือกเวลานั้นเขาก็ยินดีที่จะ…..

เสียงเคาะบานประตูดังขึ้นขัดความคิดจนเรวุสอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ปรกติจะไม่ค่อยมีใครกล้าเคาะประตูรบกวนการทำงานของเขานัก เป็นอันทราบกันทั่วไปว่าท่านผู้บัญชาการคนใหม่มีนิสัยเข้มงวดจะไม่ชอบให้มีใครมาขัดจังหวะเวลาทำงาน ใบหน้าขาวล้อมกรอบด้วยไหมสีทองซีดหันกลับไปมองดูคนที่น่าจะชะตาขาดในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเพราะความไม่รู้เหนือรู้ใต้ของตัวเองแท้ๆ

เรียวคิ้วมุ่นขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าของห้องเห็นฝ่ายตรงข้ามเต็มตา…อาร์ดีน อิซูเนียยืนยิ้มเผล่เอามือเท้ากรอบประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถือสิทธิ์

“อา ห้องทำงานใหม่ช่างใหญ่โตสมตำแหน่งผู้การเสียจริงๆนะ” น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้ยนั้นแฝงความขบขันในทีก่อนที่เจ้าของเสียงจะพาตัวเองเดินเข้าภายในห้อง เสียงบานประตูปิดลงดังไล่หลังร่างสูงใหญ่ที่บัดนี้อัญเชิญตัวเองเข้ายืนกลางห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาสูงสุดเรียบร้อย

เรวุสยังคงยืนนิ่งไม่ขยับออกจากมาจากบริเวณหน้าต่างทว่าใช้ดวงตาจ้องมองคนที่รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตัวเองอย่างเยือกเย็น”ถ้าจะมาก่อกวนละก็ ฉันว่าท่านเชิญออกไปจากห้องจะดีกว่า”

“จุ๊ๆ อย่าทำตัวห่างเหินเจอหน้าไล่กันตลอดแบบนี้สิ คนตั้งใจมาหาเขาจะเสียกำลังใจนะฝ่าบาท!” ชายวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงแสร้งทำสีหน้าเศร้าสร้อยประกอบการพูดซึ่งนอกจากจะไม่ชวนทำให้คนมองรู้สึกสงสารแต่ประการใด ตรงกันข้ามเรวุสรู้สึกขนลุกจนอยากจะจับคนตรงหน้าโยนออกไปนอกห้องเสียด้วยซ้ำ

“เห็นนายทำหน้าแบบนั้นแล้วคลื่นไส้ชะมัด!!”วาจาตรงๆไม่มีอ้อมค้อมเรียกเสียงหัวเราะรื่นรมย์จากผู้มาเยือนได้ไม่ยาก

“เป็นการวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาสมเป็นท่านมากจริงๆนะฝ่าพระบาท”

ร่างโปร่งใต้ชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดตาแค่นเสียงฟึขึ้นจมูกเมื่อได้ยินถ้อยคำหยอกล้อที่สร้างความรู้สึกปวดหนึบกลางหัวใจ แรกเริ่มที่อีกฝ่ายเย้าแหย่ด้วยถ้อยคำแบบนี้เรวุสอดเป็นเดือดเป็นแค้นไม่ได้ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป วัยวุฒิที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เขาสามารถสงบใจได้มากขึ้นและเข้าใจว่ายิ่งเต้นไปตามเกมของอีกคนมากเท่าไร คนมากเล่ห์คนนี้ยิ่งรู้สึกสนุกสนานที่ได้ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกมากเท่านั้น

“ถ้ามีธุระจะพูดอะไรก็พูดมา…แต่ถ้าจะมาเพื่อสร้างความรำคาญ ฉันขอแนะนำให้ท่านออกไปจากห้องแต่โดยดี” ผู้บัญชาการหนุ่มกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าอาร์ดีนกำลังเดินร่อนไปทั่วห้องทำงานของเขา มือหนาใต้ชุดคลุมตัวยาวสีดำที่แลดูน่าอึดอัดยกขึ้นไล้ไปตามสันหนังสือที่วางเรียงรายไปบนตู้ตัวยาวก่อนที่ชายผมม่วงแดงจะถือวิสาสะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาถืออ่าน

“ต้องมีแน่นอนแล้ว” ร่างสูงใหญ่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆโดยที่ยังไม่ละดวงตาไปจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษในมือ “เป็นเรื่องสำคัญมากๆด้วยสิน้า ไม่งั้นข้าไม่มาหาท่านผู้การถึงห้องหรอก”

“ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากเสมอเลยนะท่าน” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวอดบ่นออกมาไม่ได้กับท่าทียึกยักไม่จบสิ้นของฝั่งตรงข้าม “มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆเข้าฉันจะได้ไปทำงานต่อ”

หนังสือเล่มหนาปกหุ้มด้วยผ้ากำมหยี่สีแดงเข้มเนื้อดีถูกปิดลงก่อนที่ร่างสูงของท่านรัฐมนตรีจะเดินนำมันมาวางบนโต๊ะทำงานของเขา “เรื่องนี้มันก็ยุ่งยากนิดหน่อยละนะ…เพราะมันเกี่ยวกับน้องสาวของท่านยังไงเล่า หืม! ว่าไงเริ่มสนใจขึ้นมาแล้วหรือเปล่า?”

อวามารีนกับอเมทิสต์น้ำงามหรี่มองคนพูดอย่างไม่วางใจว่าคนพูดต้องการจะสื่อถึงเรื่องอะไร ตลอดเวลาที่เรวุสได้รู้จักคนตรงหน้ามาประสบการณ์นั้นสอนให้เขารู้ว่าอาร์ดันมีนิสัยที่ลึกลับและคาดเดาได้ยากหนักหนา ยิ่งเจ้าตัวใจดีให้ความช่วยเหลือมากเท่าไรเขายิ่งทวีความหวาดระแวงใจมากเท่านั้น

“หน้าที่ของเทพพยากรณ์…ข้าคาดว่าท่านรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าน้องสาวของท่านกำลังทำอะไรอยู่”อาร์ดีนกล่าวอย่างใจเย็นพลางค่อยๆย่างเดินเข้ามาหาร่างสูงโปร่งที่ยังคงทำหน้าตายยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างที่เดิม แต่ริ้วความเครียดจางๆปรากฎบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนคนมองรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ 

เรวุสมีความซื่อตรงแฝงในตัวมากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก!!

อาร์ดีนกระตุกยิ้มที่มุมปาก ร่างสูงสะบัดชายผ้าคลุมยาวของตัวเองไปด้านหลังด้วยท่าทียึกยักดูน่ารำคาญในสายตาของชายที่อายุน้อยกว่าก่อนช่วงขายาวจะสืบเข้าไปประชิดกายของอดีตเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์แห่งเทเนไบร์

“การปลุกเทพเจ้าที่หลับใหลเพื่อราชาเนี่ยมันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะเจ้าคิดแบบนั้นไหม?” รัฐมนตรีแห่งจักรวรรดิแย้มรอยยิ้มบางๆพลางยกมือขึ้นแตะปรางค์นวลของอีกฝ่ายเบามือ สัมผัสสากระคายของจากปลายนิ้วลากไล้เชิงหยอกเย้าไปบนผิวขาวละเอียด

“พวกคนในกองทัพคงไม่รู้สึกยินดีแน่แท้หากรับรู้ว่าเทพพยากรณ์ น้องสาวของท่านผู้การคนใหม่กำลังวางแผนทำอะไรอยู่!!”

“งั้นที่มานี่ตั้งใจจะมาข่มขู่กันหรือไง?” คิ้วเรียวใต้เรือนผมสีทองขาวขมวดเข้าหา

ใบหน้ากร้านที่มีริ้วรอยตามวัยแถมยังมีร่องรอยหนวดเคราที่ดูอย่างไรก็เหมือนเจ้าตัวจงใจโกนไม่หมดอยู่ทำหน้าเหมือนสิ่งที่เรวุสพูดออกมานั้นแสนจะตลกขบขันเหลือประมาณก่อนที่เจ้าตัวจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมาจริงๆแบบไร้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจ

“ในสายตาท่านข้าคงจะเป็นที่แย่มากๆแน่นอนสินะเนี่ย ฮาฮาฮ่า แต่ไม่แน่นอนฝ่าพระบาท…หม่อมฉันไม่ทำแบบนั้น อย่าได้ทรงกังวลในตัวหม่อมฉันไปเลย” หลังจากเสียงหัวเราะสงบลงและอาร์ดันกลับมาจังหวะการหายใจให้เป็นปรกติได้แล้วร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นมาคุยประเด็นที่ค้างคาต่อ

“หรือว่านายตั้งใจจะหาพรรคพวกหรือไง?” อาร์ดีนทำเพียงแค่อมยิ้มบางๆแล้วส่ายหน้าว่าราวกับบอกทางอ้อมว่าเขานั้นกำลังเข้าใจผิด

“งั้นจุดประสงค์ของนายคืออะไรกันแน่!?” อดีตเจ้าชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรจากเขา เรวุสไม่ชอบตัวเองเวลาที่เขาไม่สามารถคาดเดาอะไรล่วงหน้าได้ มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและมีขีดความอดทนที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งฝ่ายตรงข้ามมีท่าทางยึกยักไม่พูดออกมาตรงๆแบบนี้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ

ฝ่ามือเลื่อนมาแตะสะโพกใต้ผ้าคลุมสีขาวหนาก่อนที่มันจะเลื้อยไหลถือโอกาสโอบช่วงเอวของผู้บัญชาการสูงสุดอย่างถือวิสาสะก่อนจะออกแรงรั้งกายเพรียวระหงเข้าแนบชิดตนเอง เรวุสถึงกับเผลอกลั้นลมหายใจกับอากัปกิริยาจาบจ้วงเช่นนี้ก่อนจะจ้องมองเจ้าของดวงตาสีอำพันที่ฉายแววทะเล้นด้วยแววตาดุกร้าว

“ปล่อยมือของท่านเดี๋ยวนี้ท่านรัฐมนตรี!”

ใบหน้าของชายวันกลางคนที่แย้มรอยยิ้มพึงพอใจเลื่อนมาเคล้าคลอที่ข้างแก้มซ้ายจนชายหนุ่มที่อ่อนอาวุโสรู้สึกได้ถึงไอร้อนของลมหายใจที่พ่นรดที่ข้างใบหูตัวเองก่อนจะเอ่ยพูดโดยไม่แยแสต่อคำประท้วงให้ละมือตนเองออกไปแต่อย่างใด

“ข้าไม่จำเป็นต้องหาพรรคพวกเพิ่มหรอกท่านผู้การ…คนของข้ามีแยะพอสมควรแล้ว” 

หนึ่งในนั้นก็รวมท่านอยู่ด้วย…นั้นคือสิ่งที่คนฉวยโอกาสไม่ได้พูดออกไป

รอยยิ้มเย้ยหยันกรีดขึ้นเหนือริมฝีปากหยักชัดเจนก่อนที่อำพันทองคู่เรียวจะเหลือบลงไปมองแขนเหล็กกล้าซึ่งพัฒนามาจากเทคโนโลยีมาจิเทคที่ติดอยู่กับร่างกายของคนในอ้อมแขน…ตอนนี้เรวุสถือได้ว่าเป็นสิ่งของของเขาไปแล้วเรียบร้อย

“หากท่านผู้การอยากช่วยน้องสาวให้มีชีวิตรอด ท่านก็ต้องโค่นทวยเทพพวกนั้นให้ได้” เสียงแหบทุ้มกระซิบแผ่วเบาราวกับเสียงลึกลับที่ล่องลอยมาจากความมืดมิดแล่นผ่านโสตประสาทอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง

“หรืออีกทางหนึ่งคือปล่อยให้ราชาแห่งแสงได้รับพลังไปแล้วน้องสาวของท่านก็จางหายไปตลอดกาล!!”

“เลือกให้ดีๆนะท่านผู้การ…ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจและน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็แล้วกัน”

ฝ่ามือไร้มารยาทนั้นยอมละออกจากช่วงเอวสอบเข้สรูปไป ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งมองดูแผ่นหลังของรัฐมนตรีที่เดินหันหลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกสับสน

เขาไม่ควรเชื่อใจคนคนนี้ แม้แต่ลูน่าเองก็เตือนเขาเสมอๆว่าชายที่ชื่ออาร์ดีนนั้นไม่น่าไว้วางใจ เขาไม่ควรเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดพยายามโน้มน้าวจิตใจมากจนเกินไป

หน้าที่สำคัญของน้องสาวเขาในฐานะเทพพยากรณ์นั้นเขาเข้าใจและตั้งใจจะสนับสนุนเธอในทุกทางที่พอจะทำได้ แต่น้องคือครอบครัวคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ เขาไม่อาจปล่อยให้เธอล้มตายไปโดยที่เขาไม่อาจช่วยหยุดยั้งเธอไม่ให้เดินมุ่งหน้าไปสู่หุบเหวมรณะนั้นได้

“ท่านแม่…ตอนนี้ลูกควรตัดสินใจอย่างไรดี?” ดวงตาสองสีที่แสนสับสนได้แต่เหม่อมองหยาดน้ำที่พรั่งพรายลงมาจากฟากฟ้าด้วยจิตใจที่หม่นหมอง

———————————-

[ TBC ]

:

:

:

:

:

:

:

:
อิลุงค่ะบทมาแค่นี้เองหรอ มานิดๆแจกอ้อยๆหน่อยๆแล้วก็จากไป นี่มันยังฟิคอาร์ดี้เรฟจริงๆหรอค่ะคนแต่งก็สงสัยมากค่ะ? 5555

ตอนนี้เขียนแล้วรู้สึกได้ถึงความซิสค่อนของท่านพี่เรวุสจริงๆค่ะ 😂😂😂 คนแต่งกราบขอโทษขออภัยท่านพี่ด้วยนะคะ

2 thoughts on “[Fan Fiction] Final Fantasy XV – Distain_Part II

  1. เป็นการคุยกันที่บั่บว่าาาาา กึ่งขู่กึ่งอ่อยนี่คืออาร๊ายยยยยยยยยยย ลุงมีความบุกเหมือนจะชิวแต่ใจนี่ปลิวไปแล้ว มือไวใจถึงแบบนี่เจอคู่ปรับแบบเรวุสเหมาะกันมากจริงๆค่ะ ปลื้มค่ะปลื้ม5555555 ไว้มาต่อนะค้าาาา ^^

    Like

  2. แอร๊ย ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะคะ ลุงในความคิดคนแต่งนี่สายอ้อยแท้ๆค่ะ แจกอ้อยคนทั่วอีออสแล้ว แถมอยู่มานานต้องความลีลาแยะมือไวใจถึงกันบ้าง

    ต้องจับๆแตะๆแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่ท่าน ยังไงก็เป็นของๆเขา แต่พี่ท่านก็หัวช้าตลอดไม่เคยตามลุงทันค่ะ ฮือ

    Like

Leave a comment