[SF] MCU: Taste of You (Strange/Stark)

Paring: Stephen Strange x Tony Stark

Rating: PG

🚨 Warning 🚨: Show a little bit of detail in Avengers Infinity War

เริ่มต้นจากเขียนเป็น Drabble จบด้วยการแต่งเป็น Short Fiction เน้นกาวล้วนๆ หาสาระและความจริงจังไม่ได้

เราเป็นมือใหม่หัดแต่งฟิคในจักรวาลมาร์เวล หากคาร์แรคเตอร์ของตัวละครในฟิคมีแปร่งๆไม่ตรงกับความจริงไป เราต้องขออภัยและยินดีน้อมรับคำแนะนำทุกคนไปปรับปรุงนะคะ 🙏💞

..

..

..

..

..

..

🍦🍨🍦🍨🍦🍨

ปีเตอร์ พาร์คเกอร์อาสาจะทำการสำรวจยานโดนัทที่พวกเขากำลังโดยสารมุ่งหน้าสู่สถานที่ใดที่หนึ่งในห้วงอวกาศสุดเวิ้งว้างอย่างจำใจ

โทนี่ สตาร์คไม่ได้เป็นพวกเห็นความตายแล้วจะชอบวิ่งเข้าใส่หรอกนะ ถ้าให้เลือกได้้โทนี่ก็อยากเป็นแค่ช่างคนหนึ่งที่คอยคิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีล้ำสมัยให้กับคนบนโลกก็แค่นั้น

แต่เพราะเขาคือไออ้อน แมนที่ทุกคนต่างชื่นชมและยกย่องให้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้พิทักษ์โลกทำให้เขาจำเป็นต้องเข้ามาพัวพันยุ่งเหยิงกับเรื่องแปลกประหลาดสุดมหัศจรรย์ล้ำลึกแบบที่คนทั่วไปอาจคาดไม่ถึง

นั่นรวมถึงการปรากฎตัวของชายหนุ่มหน้าคมคายในเครื่องแต่งกายแปลกๆที่จู่ๆก็เดินทะลุบานประตูมิติมาเล่าถึงการรุกรานของภยันตรายจากนอกโลกให้เขาฟังที่กลางสวนสาธารณะ ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องต่อสู้กับเอเลี่ยนตัวใหญ่เท่าบ้านและมาจบที่การติดแหงกอยู่บนยานอวกาสหน้าตาพิลึกพิลั่นลำนี้ด้วยกัน

“เฮ้ นายโอเคหรือเปล่า?” โทนี่ร้องถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งตระหง่านเป็นรูปปั้นมานานค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้นทันทีที่ปีเตอร์ขอแยกตัวไปสำรวจยานด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆ

“คุณว่าผมดูโอเคหรือเปล่าละ สตาร์ค” ชายหนุ่มผมดำที่เส้นไหมสีเงินแวววาวที่ข้างจอนผมเม้มปากแน่นเป็นเส้นบางพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆเหมือนพยายามจะสะกดกลั้นความเจ็บปวดทางร่างกาย

“นายนี่มัน!!…คุณหมอรู้ตัวหรือเปล่าเป็นมนุษย์ที่กวนอวัยวะเบื้องล่างมากที่สุดคนหนึ่งเลยนะ” โทนี่นิ่วหน้า เส้นความหงุดหงิดเริ่มแล่นริ้วๆในสมองกับคำตอบที่ได้

“รู้และคุณไม่ใช่คนแรกด้วยที่บอกผม” คนเจ็บยังทำปากเก่งต่อไป

มหาเศรษฐีหนุ่มใจบุญได้แต่กรอกตามองเพดานรูปร่างแปลกตาที่เต็มไปด้วยจักรกลของยานต่างด้าวลำนี้พร้อมกับนับหนึ่งถึงร้อยในใจให้กับความกวนประสาทของพ่อมดหนุ่มที่เขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน

น่าประหลาดที่คนแบบโทนี่ สตาร์ค ปรกติแล้วไม่ค่อยอดทนกับใครมากกลับยอมสะกดใจหลังโดนผู้ชายเพี้ยนๆคนหนึ่งที่แนะนำตัวเองว่าชื่อ ด็อกเตอร์ สตีเฟ่น สเตรนจ์ กวนโมโหมาตลอดทาง

อีกฝั่งอ้างว่าตัวเองนั้นเป็นจอมขมังเวทที่คอยปกป้องโลกจากโลกแห่งความมืด พวกเขามีพลังที่สามารถใช้เสกโน่นนี่ออกมาจากอากาศได้ มันทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและแปลกประหลาดสมชื่อของพ่อมดหนุ่มจริงๆ

นอกจากนี้สตีเฟ่น สเตรนจ์ยังเป็นหนึ่งในคนที่ครอบครองมณีแห่งจักรวาลเอาไว้และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาติดแหงกอยู่ในยานรูปทรงโดนัทลอยได้ลำนี้

เพราะธานอส จอมวายร้ายสติเฟื่องที่อยากจัดการสมดุลของจักรวาลกำลังออกตามล่ามณีแห่งจักรวาล จากที่บรูซเล่าให้ฟังคร่าวๆตอนที่เขายอมตามพวกผู้ใช้เวทเหล่านี้ไปถึงอาศรมลึกลับในเมืองนิวยอร์ค ตอนนี้ธานอสได้ครอบครองมณีแห่งพลังและอวกาศไปแล้ว อีกไม่นานมันจะตามมายังโลกเพื่อไล่ล่ามณีแห่งกาลเวลาแห่งจิตวิญญาณ

มายด์ สโตน มีอำนาจในการควบคุมจิตใจตอนนี้ติดอยู่กับวิชั่น ร่างวิวัฒนาการของ J.A.R.V.I.S. หนึ่งในปัญญาประดิษฐ์ทีี่โทนี่เป็นคนรังสรรค์ขึ้นมา เพียงแต่ว่าตอนนี้วิชั่นไม่ใช่แค่โปรแกรมอีกแล้ว เขามีร่างกาย จิตใจ ความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง วิชั่นเลือกที่จะตัดการติดต่อกับโทนี่มาสักพักแล้ว อีกฝ่ายมีชีวิตเป็นของตนเองและโทนี่ก็เคารพมันนั่นทำให้โทนี่เองก็จนปัญญาว่าเมื่อบรูซถามหาตัววิชั่นว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

ส่วนไทม์ สโตน มีอำนาจในการควบคุมห้วงเวลา สามารถเร่งเวลาเพื่อดูอนาคตหรือย้อนคืนเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตก็ย่อมได้ มันอยู่ในความดูแลของพวกจอมเวทมาช้านานและพวกเขาได้มอบสัตย์สาบานว่าจะปกป้องมณีด้วยชีวิต ดังนั้นทางเลือกที่ว่าจะทำลายอัญมณีก็ตกไปโดยปริยายทันทีที่โทนี่เสนอขึ้นมา

และพวกของธานอสก็มายังโลกจริงๆ…พวกมันตามล่าอัญมณีแห่งกาลเวลาอย่างไม่ลดละ ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเพียงเพื่อชิงหนึ่งในอินฟินิตี้ สโตนกลับไป

ส่วนหนึ่งที่ชีวิตต้องยุ่งยากยิ่งขึ้นมันมาจากความดื้อด้านของคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างเขาด้วย ทั้งๆที่โทนี่บอกจนแทบปากจะฉีกว่าถ้าสตีเฟ่นอยากจะเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเขาต้องถอดสร้อยคอที่มีไทม์ สโตนประดับอยู่ออก หรือไม่อย่างนั้นจอมเวทหนุ่มก็ไม่ต้องเข้าร่วมการสู้ แต่สตีเฟ่นไม่ฟังเขาเลย อีกฝ่ายยืนกรานจะใส่ดวงตาแห่งอากาม็อตโตมาสู้ศัตรูอย่างโจ่งแจ้งบนถนน

นี่มันบ้าบอที่สุด!! แต่จะมาบ่นอะไรตอนนี้ก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ได้แต่คิดว่าต่อจากนี้จะทำอย่างไรน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสมองมากกว่า

“เออ ช่างมันเหอะ ยังดีที่พวกเรารอดจากไอเอเลี่ยนดั้งหักนั้นมาได้” โืทนี่ฮึดฮัดยืนมองพ่อมดหนุ่มที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเตี้ยๆจากพื้นและพยายามจัดเสื้อผ้าและผ้าคลุมแสนซื่อสัตย์ของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง

ความเงียบลอยตัวอ้อยอิ่งในอากาศ เพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาก่อนโทนี่เองก็ไม่รู้จะคุยอะไรดี จอมเวทหนุ่มดูเป็นคนเงียบขรึมเอาจริงเอาจังจนเขาเองก็อดรู้สึกเกร็งๆไม่น้อย ยิ่งตอนนี้ขาดคนช่างเจรจาอย่างปีเตอร์ไป บรรยากาศอึมครึมระหว่างเขากับสตีเว่นก็ยิ่งชัดเจน

ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งข้างๆพ่อมดผู้มีอำนาจเวทมนตร์ควบคุมมิติและกาลเวลาตั้งใจจะว่าจะนั่งครุ่นคิดอะไรเงียบๆสักหน่อย แต่ความตาไวของโทนี่ทำให้เขาสังเกตุเห็นรอยแผลเล็กๆเหมือนโดนเข็มแทงบนใบหน้าของสตีเฟ่นหลายจุด น่าจะเป็นแผลที่ได้จากการใช้พลังของมอว์ตอนกำลังทรมานนักโทษของตนเองเพื่อให้ยอมถอนอาคมบนดวงตาแห่งอากาม็อตโตออกก่อนที่โทนี่จะบุกลงมาช่วยเหลือพร้อมกับปีเตอร์ได้ทันท่วงที

ดูท่าคุณหมอคนเก่งน่าจะถูกเจ้าเข็มหรือดาบประหลาดของมอว์ทิ่มแทงไปหลายจุดไม่เฉพาะที่ใบหน้าเท่านั้น เพราะเจ้าตัวแอบแสดงสีหน้าเจ็บปลาบๆทุกครั้งที่ขยับร่างกายไปมา สีหน้าแบบนั้นทำให้โทนี่อดรู้สึกใจอ่อนจนละเลยคนที่บาดเจ็บไปไม่ได้

“นี่หมอนะ…เจ็บแผลหรือเปล่า?”

สตีเฟ่นชะงักไปเล็กน้อย “กรุณาเรียกผมว่าด็อกเตอร์ สตีเฟ่น สเตรนจ์ด้วยครับ”

“ยาวไปน่าเบื่อ” โทนี่พ่นลมหายใจพรืดยาว “เป็นด็อกเตอร์ก็เรียกหมอนะดีแล้ว”

“…แล้วแต่คุณเถอะ” สตีเฟ่นไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนแบบนี้จริงๆ

“แล้วตกลงเจ็บมากหรือเปล่า…จะให้ช่วยอะไรไหม?

“ไม่เป็นไร มันแค่แสบๆ แต่แค่นี้เล็กน้อยมาก”สตีเฟ่น สเตรนจ์ไม่ได้โอ้อวดอะไรเกินความจริง ความเจ็บแค่นี้ยังไม่อาจเทียบได้กับตอนที่เขาที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์รุนแรงเสียจนต้องสูญเสียประสาทที่มือไปอย่างไร้หนทางเยียวยา แต่โทนี่คงไม่เข้าใจเพราะต่างฝ่ายต่างเพิ่งรู้จักกันเอง คำตอบมันเลยฟังดูยโสโอหังไปสักนิดจนคนฟังอดทำหน้าหมั่นไส้กับความพยายามรักษามาดขรึมๆของคุณหมอจอมเวทตัวดีไม่ได้

“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ มันคงไม่ทำให้นายตายหรอกมั้ง…และถ้านายบาดเจ็บ ฉันพอช่วยรักษาเบื้องต้นให้ได้”

คนฟังแอบนึกยิ้มกับความปากร้ายใจดีของคนพูดก่อนจะพยายามทำหน้าขึงขังยกมือขึ้นปรามคนทีีกำลังทำหน้าบึ้ง “ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

“ที่สำคัญกว่าแผลของผมคือ…” จอมเวทขยับตัวยืดหลังตรงแล้วหันไปมองหนึ่งในกลุ่มผู้พิทักษ์โลกด้วยใบหน้าจริงจัง “หลังจากนี้คุณจะเอายังไงต่อ พอพวกเราไปถึงเจอธานอสแล้วคุณวางแผนอะไรไว้”

“ไม่มี ตอนนี้ยังคิดไม่ออกด้วย” โทนี่ส่ายหัวน้อยๆ เอาจริงๆตอนนี้ในสมองเขาว่างเปล่ามากๆ เขาแทบนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจะงัดข้อจัดการกับตัวปัญหาที่ทรงพลังมหาศาลขนาดนั้นได้อย่างไร แค่ลูกกระจ๊อกที่ธานอสส่งมาไล่ล่าพวกเขายังรับมือยากขนาดนี้ โทนี่ไม่อยากจะจินตนาการว่างานนี้พวกเขาจะต้องเจอศึกหนักใหญ่หลวงแค่ไหน

สตีเฟ่นถอนหายใจกับคำตอบ “ผมเป็นพวกไม่ชอบด้นสดหรอก…แต่ถ้าจำเป็นมันก็ช่วยไม่ได้ละนะ”

“เฮ้ย พวกเราจะไม่ด้นสดเกินไปหรอกนะพวก มันเสี่ยงและฉันไม่อยากให้ปีเตอร์ต้องมาเสี่ยงอะไรแบบนี้ด้วย”

ดวงตาคมเหมือนนัยต์ตาเหยี่ยวหรี่มองคนพูดอย่างครุ่นคิด “…เป็นห่วงเขาอย่างหรือครับ?”

“นายก็เห็นนี่ หมอนั่นยังเด็ก…ชอบทำบุ่มบ่าม ใจร้อน แถมไม่ค่อยคิดล่วงหน้า” โทนี่สวนทันควัน

“เขาก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ” วาจาเรียบๆแสนสุภาพจากจอมเวทหนุ่มเอ่ยเหน็บมหาเศรษฐีนักประดิษฐ์เข้าให้น้อยๆ

“นี่คุณหมอฉันไม่เด็กแล้วนะ” นายช่างใหญ่แห่งทีมอเวนเจอร์สเบ้ปากใส่คนเอ่ยกระทบกระเทียบเขา ไม่เข้าใจเหมือนว่าทำไมตัวเขายังคงสามารถใจเย็นนั่งต่อล้อต่อเถียงกับนักเวทจอมเพี้ยนแบบนี้ได้โดยไม่คิดจะลุกไปตั้นใบหน้าคมคายนั้นให้คว่ำไป “แล้วก็ฉันจำได้ว่านายเรียกฉันว่า ดูชแบช ตอนพวกเรายังอยู่บนโลก…”

“นิวยอร์ค”

โทนี่อึ้งไปสักพักก่อนจะสมองของเขาจะเชื่อมโยงสิ่งที่สตีเว่นพูดถึงได้ “นิวยอร์ค…แล้วนิวยอร์คนี่มันไม่ใช่โลกหรอคุณหมอจอมเวท แถมนายยังตีเท้าฉันด้วยตอนที่พวกเรายืนกัน”

“ผมไม่ได้เป็นคนตีคุณ ผ้าคลุมตัวเบาเขาเห็นคุณทำท่าไม่เหมาะสมเลยเตือนคุณต่างหาก” ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ทำหน้าเอือมระอาเหมือนอยากจะหลุดพ้นจากการทุ่มเถียงแบบเด็กๆนี้สักที

“แต่นายก็เป็นเจ้าของผ้านั้นใช่ไหมละ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่ฉันเลยนะคุณหมอ”

“เพราะแบบนี้ไง ผมถึงได้ถามว่าคุณยัดอัตตาของตัวเองลงในชุดของคุณได้ยังไงถ้าไม่คิดจะฟังใครเลยแบบนี้” สตีเฟ่น สเตรนจ์ไม่เคยคาดคิดว่าสักวันเขาจะต้องทุ่มเถียงอะไรกับใครอื่นในโลกนอกเหนือจากท่านแองเชี่ยน วันผู้ล่วงลับไปแล้ว แถมประเด็นที่กำลังพูดกะนมันไม่ได้ดูมีสาระความรู้อะไีรแม้แต่น้อยเลย

“จะหลอกด่าว่าฉันอ้วนอย่างนั้นสินะหมอ” โทนี่โวยวายใส่คนที่พูด ดูเหมือนจู่ๆปรอทอารมณ์ของเขาจะพุ่งทะลุไป

“ก็แล้วแต่คนฟังจะคิด” อดีตศัลยแพทย์ทำหน้าตายตอบกลับ

“….เออ ช่างมันเหอะ!!!”

“ผมก็ว่าอยู่นะ”

“…”

“…”

“โทษที…ฉันผิดเองละ ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยคงที่ นอนน้อยแถมมีเรื่องให้คิดแยะด้วย” หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบสงบสติอารมณ์ของตัวเองไปสักพักโทนี่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

สตีเฟ่นเลิกคิ้วน้อยก่อนจะเหลือบมองคนที่ดูจะสงบลงแล้วข้างกายเขา เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำว่าขอโทษง่ายๆแบบนี้จากปากโทนี่ สตาร์ค คนที่เขาคิดว่าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง

อีกอย่างคือสีหน้าของนายช่างใหญ่ที่สตีเฟ่นเห็นดูอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยแบบที่เขาไม่คาดว่าจะได้เห็น…ถึงจะเป็นซุปเปอร์ ฮีโร่ของมวลมนุษยชาติแต่ก็มีเหนื่อยมีท้อเป็นด้วยกันทั้งนั้นละ!!

“ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นจนบางทีมันก็ทำฉันสติแตกได้ง่ายๆ ไม่รู้สิ” เสียงโทนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขามีหลายอย่างให้ต้องคิดแยะมากมายตลอดเวลา การเป็นอัจฉริยะมันไม่ง่ายจริงๆ

“ผม…ก็ไม่ตั้งใจจะทำให้คุณโมโหหรอกนะ” สตีเฟ่นพยายามรอมชอมกับอัจฉริยะนักประดิษฐ์ตรงหน้า ยังไงพวกเขาก็ยังต้องทำตัวติดกันไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะหาหนทางต่อกรกับธานอสได้อยู่ดี อยู่และสู้ด้วยกันอย่างสบายใจย่อมดีกว่า

“ไม่หรอก…บางทีผมก็ไร้เหตุผลกับบางเรื่องมากไป”

“….”

“ก็แบบนี้ละ การเป็นฮีโร่” โทนี่หัวเราะน้อยๆพร้อมไหวไหล่พยายามทำเหมือนจะบอกว่าเขาไม่เป็นไร

“นี่ถามหน่อย ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าหมอ” จู่ๆโทนี่ก็เปลี่ยนประเด็นบทสนทนา

“ก็ผมเป็นหมอ…เคยเป็นหมอมาก่อน” จอมเวทหนุ่มตอบตามความเป็นจริง

“หมอรักษาอะไร” มหาเศรษฐีตระกูลสตาร์คเริ่มรู้สึกสนใจความเป็นมาของชายแปลกหน้าที่จู่ๆก็สามารถเดินทะลุมิติไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบคนนี้

“ศัลยแพทย์ประสาท”

“งั้นดีเลย ประสาทผมมันไม่ค่อยดี หมอจะช่วยรักษาผมไหมละ” คำถามของโทนี่ สตาร์คืำเอาด็อกเตอร์ สเตรนจ์เม้มยิ้มแน่น พยายามอดทดอดกลั้นกับนิสัยของคู่สนทนา

“ขอปฏิเสธครับ”

“ไม่เอาน่าหมอ ฉันจ่ายไหว” อีกคนยังคงเย้าแหย่ไม่เลิก

“เหตุผลของผมไม่เกี่ยวกับเงินสักนิดเลยครับ”

“งั้นทำไมถึงอยากเป็นหมอละ…ฉันหมายถึงอาชีพอื่นมีเยอะแยะจะตายไป พวกวิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ ที่ปรึกษา นักประดิษฐ์…” โทนี่นั่งนับนิ้วร่ายลิสท์รายชื่ออาชีพน่าสนใจ

“นักประดิษฐ์แบบคุณนะหรือ?” เสียงทุ้มต่ำถามย้อนกลับ

“แบบฉันแล้วยังไงหรือ!?” คนถูกย้อนทำเสียงเขียวข่มใส่

“เปล่า ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

“เอ้า แล้วสรุปทำไมอยากเป็นหมอ” โทนี่ยังตื้อถามต่อไม่ลดละ

“แล้วทำไมคุณถึงอยากเป็นนักประดิษฐ์ และกลายเป็นไออ้อน แมนละ สตาร์ค?”

โทนี่ทำหน้าเอือมระอาเล็กน้อย ดูเหมือนพ่อมดนี่จะชอบตอบคำถามเขาด้วยคำถามเสียเหลือเกิน “…ก็อยากช่วยคนอื่นมั้ง”

“ผมก็คงไม่แตกต่างจากคุณ” โทนี่เลิกคิ้วสูงกับคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองจอมเวทตัวสูง “ที่มาเป็นหมอก็เพราะอยากช่วยชีวิตคนยังไงละ”

“โว้ว แบบนั้นก็เจ๋งไปเลย พวกเราสองคนน่าจะเข้าคู่กันดีเลยนะแบบนั้น”

สตีเฟ่น สเตรนจ์เป็นคนที่น่าสนใจมากเสียดายที่พวกเขาไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนหน้านี้ ใจจริงของโทนี่้เขานึกอยากได้ไฟล์ประวัติของนายแพทย์ประหลาดคนนี้มาอ่าน เพื่อทำความรู้จักให้มาก็ขึ้นเสียแต่ว่าตอนนี้พวกบินห่างจากโลกเกินกว่าสัญญาณใดจากภาคพื้นจะส่งมาได้ โทนี่ไม่สามารถใช้ให้ฟรายเดย์ช่วยค้นหารายละเอียดของสเตรนจ์มาให้ได้

“ว่าแต่สรุปแล้วนายได้ชิมไอศครีมรสชาติของฉันจริงๆหรือเปล่า?” และแล้วนายช่างใหญ่ก็พูดถึงหัวข้อบทสนทนาที่ไม่ได้เชื่อมโยงใดกับสถานการณ์ตรงหน้าหรือสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกันก่อนหน้านี้มาก่อนเลย

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงพลางมองหน้าคนถามที่เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ๆเกินความจำเป็น ในสมองของสตีเฟ่นพยายามคิดใคร่ครวญอย่างสุขุม “Stark Raving Hazelnuts ของ Ben & Jerry’s นะหรอครับ”

“ใช่” คนถามปรับมาทำสีหน้ากระตือรือร้นแปลกประหลาดจนด็อกเตอร์ สเตรนจ์รู้สึกไม่ไว้วางใจกับท่าทางแบบนั้นของโทนี่ สตาร์ค

“คุณถามทำไมครับ”

“ก็นายเป็นคนพูดเองตอนที่พวกเรา…นายอยู่บนโลก…”

“อยู่ที่นิวยอร์คครับ” คนปากไวช่วยแก้ประโยคให้อีกรอบ

“เออ นั่นและ ตอนนั้นนายบอกว่ารสชาติหยั่งกับชอร์ค นี่เลยสงสัยว่านายได้ชิมจริงๆหรอ?” โทนี่ สตาร์คทำหน้าเคร่งเครียดยามที่พูดถึงเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ “พอดีฉันไม่กินอาหารพวกนมเนยมานานละ เลยไม่เคยได้ลองชิมสักครั้ง”

สตีเฟ่นมุ่นคิ้วเข้มกลางหน้าเข้าหากัน เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมจู่ๆสตาร์คถึงได้หยิบยกประเด็นหยุมหยิมเล็กน้อยพวกนี้ขึ้นมาถกด้วยสีหน้าจริงจังราวกับมันเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิตในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ แต่เจ้าตัวดูจะภาคภูมิใจไม่น้อยที่ชื่อของตัวเองได้รับการหยิบยกไปตั้งเป็นรสชาติแบบนั้น

ถึงจะไม่อยากทำร้ายความภูมิใจของคนที่นั่งอยู่ข้างๆมากนักแต่ในเมื่อเจ้าตัวถามเขาก็จะตอบให้ ริมฝีปากหยักสวยเข้ารูปเปรยขึ้นมาลอยๆเหมือนจะถามอีกฝ่าย “แล้วคุณคิดว่าผมเป็นผมพวกชอบพูดพล่อยๆลอยๆหรือเปล่าละ”

“ก็คิดว่าไม่นะ..มั้ง?” น้ำเสียงลงท้ายประโยคดูไม่แน่ใจ ชายหนุ่มในชุดเสื้อวอร์มออกกำลังกายสีดำเบ้ปากตอบพลางยักไหล่ด้วยท่าทางที่คนมองอดนึกหมั่นไส้ไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่บอกไปละครับ” สตีเฟ่นสรุปให้

โทนี่อ้าปากค้างก่อนจะพ่นคำสบถออกมา “บ้าจริง!! กลับไปฉันต้องไปจัดการเจ้าบริษัทนั่นโทษฐานที่เอาชื่อฉันไปใช้แล้วทำเสียๆหายๆ”

“ก่อนจะวางแผนเรื่องเอาคืนบริษัทไอศครีม คุณช่วยวางแผนว่าเราจะเอาตัวรอดจากธานอสยังไงก่อนดีกว่าไหม” อดีตศัยลแพทย์ปากกรรไกรหรี่ตาน้อยๆก่อนเอ่ยเหน็บมหาเศรษฐีชื่อดังที่ถูกเอาชื่อไปตั้งเป็นรสชาติของหวานอีกรอบ

“อันนั้นก็ต้องคิดอยู่แล้วละ” แต่ดูเหมือนรอบนี้โทนี่จะไม่เดือดแบบรอบที่แล้ว อีกฝ่ายดูจงใจขยับมาใกล้ร่างสูงโปร่งในชุดสีน้ำเงินเข้มตัดกับผ้าคลุมวิเศษสีแดงสดด้วยแววตาแพรวพราวระยับแบบที่สตีเฟ่นมองแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ใบหน้าทรงสเน่ห์ปกคลุมหนวดเคราโน้มเข้ามาประชิดดวงหน้าคมคายของสตีเว่นจนลมหายใจอุ่นๆของสองร่างปะทะกัน

รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานอะไรสักอย่างแน่ๆ!!

“นายเคยแต่ชิมไอศครีมรสชาติของฉัน แต่ยังไม่เคยชิมรสชาติของตัวฉันเองเลยนี่” ดวงตาของโทนี่พราวระยับ

“รสชาติของคุณนะหรอ?”

“ใช่ ว่าไงอยากลองชิมสักครั้งไหมละ” วาจาสองแง่สามง่ามยังดังออกมาจากปากมหาเศรษฐีหนุ่มแบบไม่กระดากใดๆ

“ถ้าผมจำไม่ผิดคุณเพิ่งแต่งงานมานะ”

“เอาน่า ฉันไม่ถือ นายจะรู้ไงว่าทำไมเขาถึงเอาไปตั้งชื่อไอศครีม”

“ขอปฏิเสธ ผมไม่อยากให้ลิ้นติดรสชาติแย่ๆก่อนจะไปต่อกรกับธานอส” สตีเฟ่นปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“นายมันปากหมาจริงๆ”

“ขอบคุณที่ชม” คนถูกประชดยิ้มสุภาพรับ

“ที่อย่างนั้นละขอบคุณ ทีฉันช่วยชีวิตนายไว้ดันไม่ยอมขอบคุณ ให้ตายเหอะ” โทนี่บ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา

“คุณเป็นคนทำผมหลุดออกไปต่างหาก”

“…ว่าแต่ไม่ลองชิมจริงๆนะ?” อดีตเพลย์บอยหนุ่มยังคงกระเซ้าต่อไม่เลิก

“ไม่ครับ!!”

โทนี่ยักไหล่พยักหน้าประหนึ่งจะยอมรับความพ่ายแพ้ที่อีกฝั่งไม่เล่นด้วย แต่ไม่วายหยอดทิ้งท้าย “โอเค น่าเสียดาย อุตส่าห์จะให้นายลองชิมรสชาติสตาร์คแบบดั้งเดิม Original แท้ๆเลย…รสชาติของฉันเด็ดดวงจริงๆนะจะบอกให้

“ผมไม่สนใจ” สตีเฟ่นพยายามสะกดกลั้นรอยยิ้มกับท่าทางของคนตัวเล็กกว่า

“แล้วจะเสียใจที่ไม่ยอมลองชิม”

“เคยมีคนบอกคุณไหมว่าคุณนะหลงตัวเองเป็นบ้าเลย” อดีตศัลยแพทย์พยายามที่จะเม้มปากแน่นไม่ขำกับท่าทางสุดมั่นใจของอดีตเสือผู้หญิง…ดูแล้วก็น่ารักดี!

“นายไม่ใช่คนแรกแน่นอน” โทนี่เลือกจะตอบคนถามด้วยการย้อนคำตอบที่สตีเฟ่นเคยตอบเขาไว้ “และนายก็นิสัยไม่ต่างจากฉันแน่นอนหมอ ข้อนี้ฉันกล้ารับรอง”

ถึงจุดนี้ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ถึงกับหลุดขำออกมาน้อยๆกับสิ่งที่โทนี่พูด…ดูท่าอีกฝั่งจะมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นลงไม่เบา!

แต่มันก็จริง!! พวกเขาสองคนนิสัยคล้ายคลึงกันมากทั้งตัวตนในสมัยก่อนและตอนนี้…ทั้งความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น เต็มไปด้วยอัตตา หลงตัวเอง อวดดีแต่ก็เพราะมีดีให้อวด ก่อนที่จะถูกประสบการณ์และโลกสั่งสอนขัดเกลาให้รู้จักลดทอนทิฐิมานะ รู้จักเห็นใจคนอื่น และรู้จักรับฟังเสียงรอบข้าง

ถ้าพวกเขาได้รู้จักสนิทสนมกันก่อนหน้าเรื่ิิองวุ่นวายพวกนี้จะเกิดขึ้นก็คงจะดี สตีเฟ่นเชือว่าทั้งเขาและโทนี่น่าจะเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด

…คงเหมือนรสชาติแปร่งๆของ Stark Craving Hazelnuts ที่เขาว่ามันคือรสชาติที่โคตรจะไม่เอาไหนที่สุดเลยแต่รสชาติประหลสดนั้นมันยังคงติดลิ้นเขามาตลอดเวลา

“คนอย่างด็อกเตอร์ สตีเฟ่น สเตรนจ์ ไม่ต้องรอคุณอนุญาตหรอกครับ”

น่าแปลกที่ตั้งแต่เจอกันโทนี่ไม่ได้สังเกตุเลยว่าสตีเว่น สเตรนจ์เป็นผู้ชายที่มีสเน่ห์มากเหลือล้นขนาดไหนจนกระทั่งตอนนี้ ใบหน้าคมคายนั้นรับกับเส้นผมสีเข้มแซมผมสีเงินตรงข้างใบหู อีกฝั่งดูไม่ได้แก่สูงวัยขนาดนั้นแต่ผมสีเงินที่แซมอยู่แบบนั้นช่วยขับเน้นบุคลิคเฉลียวฉลาดและเจ้าระเบียบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใบหน้าคมเข้มมีสันกรามแกร่งกับหนวดเคราน้อยๆทรงเดียวกับโทนี่แต่กลับดูเท่กว่าโทนี่ สตีเฟ่นตัวสูงใหญ่กว่าเขาพอสมควรแถมรอบตัวเจือด้วยกลิ่นกำยานแบบตะวันออกแตกต่างจากน้ำหอมที่คนทั่วไปใช้

ไม่อยากยอมรับเลยแต่ว่าหมอนี่เป็นผู้ชายที่หล่อเซ็กซี่จนผู้ชายด้วยกันยังเผลอไผลได้!!

ช่างเป็นตัวอันตรายจริงๆ!

“ถ้าผมอยากลองชิมคุณจริงๆผมก็สามารถรวบหัวรวบหางได้ทันทีอยู่แล้ว อยากทดสอบไหมละ”

เสียงทุ้มละมุนที่ผู้หญิงทั้งหลายฟังแล้วคงรู้สึกอยากละลายลงไปแทบอกคนพูดกระซิบเบาๆที่ข้างหูโทนี่ โทนี่ไม่รู้ตัวว่าคุณหมอนักเวทคนนี้วาร์ปหายตัวมาอยูข้างหลังเขาได้ตั้งแต่เมื่อไร

แต่พูดแบบนี้มันหยามโทนี่ สตาร์ค อัจฉริยะ นักประดิษฐ์ มหาเศรษฐีใจบุญ คนนี้มากเกินไป!!!

“เฮ้ย หมอพูดแบบนี้มันท้าทายฉันเกินไปละนะ” ศักดิ์ศรีของอดีตเพลย์บอยชื่อกระฉ่อนโลกเหมือนถูกจอมเวทหน้าขรึมตรงหน้าลูบคมเข้าให้ โทนี่หันขวับกลับไปหมายจะต่อปากต่อคำกับคนที่หาญกล้ามาฉะฝีปากกับเขาทว่าด็อกเตอร์ สเตรนจ์กลับแกล้งทำเมินใส่ ร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าสีน้ำเงินเข้มผุดลุกขึ้นพลางชี้ออกไปด้านหน้าอย่างสนอกสนใจสุดแบบที่เขาดูรู้้เลยว่าจงใจทำ

“อะ…นั่น เห็นเงาของดาวเคราะห์แล้วแต่อับแแสงดูมืดมนเหลือเกิน”

ไออ้อน แมนกัดฟันกรอด”ฝากไว้ก่อนเหอะหมอ”

“ฝากผมไว้แล้วอย่าลืมมาเอาคืนนะครับ ผมไม่ชอบรับฝากของจากคนอื่น สตาร์ค” แต่คนหูดีอย่างสตีเฟ่นที่เคยได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มนาฬิกาข้อมือในห้องผ่าตัดมาก่อนจะรอดพ้นเสียงพึมพำนั้นไปได้ จอมเวทหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มชัยชนะน้อยๆที่มุมปากพลางขยิบตาให้โทนี่แบบเดียวกับตอนที่พวกเขากำลังต่อกรกับมอว์และหนึ่งในบุตรธานอสบนท้องถนนในนิวยอร์ค

โทนี่จ้องมองหน้าคมที่มีเคราปกคลุมบางๆตามสันกรามเสริมให้หน้านิ่งๆของอดีตศัลยแพทย์ดูสุขุมยิ่งขึ้นอย่างเอือมระอาก่อนตัดใจเลือกที่จะติดต่อไปหาอีกหนุ่มน้อยที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปสำรวจยานโดนัทถึงไหนแล้ว

“….พาร์คเกอร์ นายกลับมาที่ฉันด่วนจี๋เลย เราจะถึงที่หมายแล้ว”

“อะ คุณสตาร์ค รับทราบครับ!!”

🍦🍨🍦🍨🍦🍨

2 thoughts on “[SF] MCU: Taste of You (Strange/Stark)

  1. น่าร๊ากกกกกกกก อ่านที่หมอกับโทนี่ต่อปากต่อคำกันแล้วยิ้มตาม คือฝีปากกินกันไม่ลงเลย แต่พี่หมอทำไมไม่ลองชิมโทนี่คะ เจ้าตัวอุตส่าห์เสนอมาขนาดนั้นแล้ว >\\\\<

    Liked by 1 person

    • พี่หมอบอกต้องกลับโลกมาชิมค่ะ กินบนยานมันลิ้มรสไม่ได้เต็มที่ แค่กก…. 😁😁

      Like

Leave a comment