[Short Fic] Final Fantasy XV – Sunlight

Title: Sunlight

Author: Sarelrus Revena

Fandom: Final Fantasy XV

Paring: Prompto Argentum x Noctis Lucis Caelum (สามารถสลับหน้าหลังได้เองตามอรรถรสส่วนตัว)

Genre: Angst / Drama /Spoiled

Rating: PG

Warning: เนื้อหาการสปอลย์เนื้อเรื่องตอนจบของเกม หากท่านยังเล่นไม่ถึงสามารถหลีกเลี่ยงได้!! 

Comments: ชีวิตคนแต่งไม่ค่อยว่าง แต่ก็มีความอยากแต่งเรื่อยๆ ขอทุกท่านอย่าถือสาในความสั้นกุดของฟิคกันเลยนะ ;0;

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

ท้องฟ้าตอนนี้ยังคงมืดสนิท ไร้วี่แววของแสงแรงดวงตะวันที่ขอบฟ้า

แต่เขามั่นใจว่าน็อคทิสจะทำได้สำเร็จ!

เพราะว่าฝูงปีศาจมากมายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดด้วยหวังจะขัดขวางพิธีการชำระล้างของราชาแห่งแสงจู่ๆก็พลันอ่อนกำลังลงและค่อยมอดไหม้สลายกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสามคน

พรอมพ์โต้หอบร่างกายตนเองที่บาดเจ็บสะบักสะบอมจากการต่อสู้อันหนักหน่วงตลอดทั้งราตรีนี้ขึ้นมานั่งเอนอิงบนขั้นบันไดของพระราชวังซิทาเดลที่ทอดตัวยาวขึ้นไปสู่บานประตูสีดำขนาดใหญ่ขนาบสองข้างด้วยรูปปั้นเทพีใต้ชุดคลุมยาวกรุยกราย

สหายสนิทอีกสองคนของเขาอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกันนะ กลาดิโอลัสใช้ดาบเล่มเขื่อนในมือช่วยพยุงร่างกายอันใหญ่โตพลางสูดหายใจลึกๆพยายามจับจังหวะการเต้นการหัวใจที่ถี่รัว ทว่าแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการต้องฟาดฟันปีศาจร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในค่ำคืนนี้ ผู้เป็นโล่ห์แห่งราชันยังคงขนาบเคียงข้างไม่ห่างร่างโปร่งเพรียวสมส่วนของอดีตราชเลขานุการ อิกนิสที่กำลังนั่งพิงบนขั้นบันไดด้วยความอ่อนล้า ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่คมทั้งสองยังคงคอยสอดส่องรอบด้านอย่างระแวดระวังภัยแม้ตอนนี้จะไร้วี่แววของอันตรายใดๆก็ตาม

อากาศยามค่ำคืนที่ไร้แสงสว่างจากพระอาทิตย์มายาวนานนับสิบปีช่างหนาวเหน็บ ทุกลมหายใจที่ระบายออกมาจากใต้จมูกที่โด่งรั้นสร้างหมอกควันสีขุ่น พื้นหินเย็นเยียบที่แนบกับผิวกายบาดเส้นประสาทจนรู้สึกปวดหนึบไปทั่ว แต่สิ่งที่ทำให้พรอมพ์โต้เจ็บปวดยิ่งกว่าคือความรู้สึกหนักหน่วงในช่องอกตัวที่ราวกับทำให้บ่อน้ำตาของเขาระรื่นขึ้นมา

เขาได้แต้เฝ้าคิดถึงคนที่เดินหายเข้าไปตัวพระราชวังซิทาเดลทุกลมหายใจ ทุกจังหวะการต่อสู้ในคืนนี้ ทุกการเคลื่อนไหวเขาเฝ้าแต่ระลึกถึงน็อคทิส…ขอให้นายทำทุกอย่างสำเร็จดั่งที่นายตั้งใจไว้!

พรอมพ์โต้เคยคิดว่าการรอคอยอะไรสักอย่างหรือรอคอยใครสักคนมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่เขากลับอดทนรอคอยน็อคทิสได้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี หนึ่งปี สามปี ห้าปี สิบปี กาลเวลาอันยาวนานไม่เคยทำให้พรอมพ์โต้หมดความหวังไป

เขาเฝ้าลาดตระเวณไล่ล่าปีศาจไปทั่ว เขามุ่งมั่นฝึกฝนตัวเองอย่างตั้งใจด้วยว่าสักวันหนึ่งที่น็อคทิสกลับมาเขาจะแข็งแกร่งและกล้าหาญพอที่จะไปยืนข้างๆน็อคทิสอย่างภาคภูมิสมกับฐานะคนสนิทของว่าที่พระราชาแห่งลูซิส

พรอมพ์โต้ยินดีทำทุกอย่างเพียงเพื่อเขาจะได้เห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของน็อคทิสอีกครั้ง!

ขอเพียงแค่คนที่เปรียบเสมือนแสงสว่างในชีวิตของเขาจะกลับคืนมาหาเขาสักวันหนึ่ง พรอมพ์โต้ยินดีแลกทุกอย่างที่มีชีวิต

เขาเฝ้ารอคอยน็อคทิสมาสิบปีอย่างไม่เคยเหนื่อยหน่ายจวบจนวันที่คนที่หายไปกลับมา เขาจำได้แม่นนำถึงวินาทีที่น็อคทิสกระโดดลงมาจากรถบรรทุกของเจ้าหนูทัลค็อตที่ตอนนี้ก็โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักและเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ฮันเตอร์สาวๆทั้งหลาย

ความดีใจที่พุ่งทยานเหมือนลิงกำลังกระโดดโลดเต้นไปมาเป็นอย่างไรพรอมพ์โต้เข้าใจในวินาทีนั้นแต่วูบหนึ่งพรอมพ์โต้เองก็กลัวว่าเขากำลังหลับใหลแล้วแค่ฝันคิดถึงคนที่อยากเจอไปเท่านั้นเอง

เขาเผลอแอบหยิกหลังฝ่ามือตัวเองหลายรอบหลังจากได้รับสายโทรศัพท์จากอิกนิสให้รีบกลับรวมตัวกันที่แฮมเมอร์เฮดเพราะทัลค็อตกำลังพาน็อคทิสกลับมา เขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองกำลังหลับหรือตื่นตลอดทางจากเลสเทลั่มจนถึงปั้มน้ำมันแฮมเมอร์เฮดจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มๆที่แสนคุ้นเคยเอ่ยทักทายทุกคนว่า

“เฮ้!!”

น็อคทิสที่ลงมาจากรถของทัลค็อตดูแปลกตาไปจากเดิมมาก พวกเขาทุกคนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ช่วงเวลาสิบปีที่ห่างหายทำให้ภาพลักษณ์เดิมๆจางหาย แต่อย่างไรมิตรภาพและความรู้สึกของพวกเขาทุกคนที่มีต่อกันไม่เคยแปรเปลี่ยนไป

พรอมพ์โต้มีอะไรหลายอย่างอยากพูดกับน็อคทิสตั้งมากมาย เขาอยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่อีกฝ่ายหายไปให้ฟัง อยากฟัง แต่ทุกคำพูดล้วนแต่ตื้อขึ้นมาจนเขาบรรยายอะไรออกมาไม่ได้ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลจุกอยู่กลางลำคอได้แค่ยืนมองน็อคทิสเอ่ยทักทายกลาดิโอลัสกับอิกนิส

ในที่สุดน็อคทิสก็หันมาหาพรอมพ์โต้พร้อมเอ่ยทักทายแบบเก้ๆกังๆ “เฮ้ ว่าไง?”

ทั้งกลาดิโอลัสและอิกนิสจงใจเอ่ยขอแยกตัวไปพักผ่อนและเตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้ปล่อยให้ทั้งเขาและน็อคทิสเดินเลี่ยงกลุ่มคนหมู่มากมาในที่ลับตาคน พรอมพ์โต้ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลจนน็อคทิสสังเกตุเห็นได้

“พรอมพ์โต้นายไม่ต้องเครียดไปหรอก ฉันยังไงก็ยังเป็นฉันคนเดิม”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ภาพลักษณ์ของน็อคทิสดูแตกต่างไปจากเมื่อสิบปีที่แล้วมาก เค้าโครงใบหน้าสมบูรณ์แบบของเจ้าชายหนุ่มวัยรุ่นกลับกลายเป็นใบหน้าของชายหนุ่มเต็มตัวละม้ายคล้ายท่านราชารีจิสที่ล่วงลับไป ท่าทางการพูดการจาก็แลดูสงบนิ่งขึ้นสมกับฐานะราชาจนพรอมพ์โต้อดรู้สึกไม่ได้ว่าแม้เขาจะฝึกฝนตัวเองมาตลอดแต่น็อคทิสก็ก้าวล้ำหน้าเขาไปอีกก้าวอีกแล้ว

“นายดูเท่ขึ้นแยะเลยน็อคท์”

“นายก็ด้วยละพรอมพ์โต้ ดูโตขึ้นแยะเลย”

“….”

ทั้งๆที่คิดถึงมาตลอดขนาดนี้แต่กลับอธิบายอะไรออกไปไม่ได้เลย ทั้งๆที่แสงสว่างดวงนี้กลับมาเจิดจรัสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ อยากจะกอดเอาไว้แน่นๆเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายกลับมายืนตรงหน้าแล้วจริงๆทว่ากลับลังเลไม่กล้าเสียอย่างนั้น

“ตอนที่ฉันหลับไป….” เพราะต่างฝ่ายต่างเงียบไปนานด้วยความรู้สึกหลายหลายที่แข่งกันปะทุขึ้นในใจจนในที่สุดน็อคทิสก็เอ่ยออกมาก่อนอย่างยากลำบาก “ฉันฝันถึงท่านพ่อ ลูน่า อิกนิส กลาดิโอ้ ท่านนายพล คุณลุงซิด ทุกๆคน แม้แต่อาร์ดีนก็ด้วย”

“ฮาฮาฮ่า แต่นายไม่ฝันถึงฉันเลยหรอน็อคท์ เห ใจร้ายจังเลยน้า”เขาพยายามแกล้งทำตัวให้สดใสร่าเริงแบบเดิมทั้งๆที่ในใจปวดหนึบแทบแย่

“อือ ไม่ฝันถึงนายเลย”

“แบบนี้ไม่เห็นต้องย้ำเลยน้าน็อคท์”

“เพราะฉันไม่เคยรู้สึกว่านายอยู่ห่างจากฉันเลยไงพรอมพ์โต้” รอยยิ้มบางๆที่แสนสวยงามนั้นคลี่เหนือริมฝีปากหยักได้รูปคู่นั้น “นายอยู่ในใจของฉันเสมอแม้ตอนที่ฉันหลับไปโดยไม่รับรู้โลกภายนอก”

หยาดน้ำใสๆค่อยเอ่อท่วมท้นออกมาจากเนตรสีฟ้าสองคู่ที่แม้จะแตกต่างเฉดสีกันแต่ต่างฝ่ายต่างก็จ้องมองลึกเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจของกันและกัน พรอมพ์โต้อดไม่ได้ที่จะยกมือของตัวเองขึ้นไปปาดซับคราบน้ำตาบนใบหน้าที่มอมแมมเปื้อนฝุ่นดินของน็อคทิสด้วยความเคยชิน

“ฉันคิดถึงนายมากๆเลยพรอมพ์โต้”

เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองพุ่งเข้าไปคว้าร่างของน็อคทิสมาสวมกอดแน่นตั้งแต่เมื่อไร อาจจะตั้งแต่ตอนที่น็อคทิสเอ่ยคำว่า ‘คิดถึง’ จบ

ไออุ่นจากตัวน็อคทิสช่วยยืนยันกับเขาถึงการมีตัวตนจริงๆของอีกฝ่ายไม่ใช่ความฝันว่างดปล่าที่เขาเฝ้าคะนึงหามาตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้

“น็อคท์ นายกลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริงๆด้วย!”

“พรอมพ์โต้นายจะยกโทษให้ฉันได้ไหม….” เสียงอู้อี้เครือเสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นจากคนที่หายตัวไปนานในอ้อมแขนของเขา

“นายจะโกรธฉันไหมถ้าฉันจะบอกว่า…ฉันมาเพื่อบอกลานาย!!”

“ตลอดเวลาที่อยู่ในห้วงความฝัน….ฉันมีนายเป็นแสงสว่างที่ยังผูกยึดฉันให้อยากกลับมาเจอนายที่โลกใบนี้ พรอมพ์โต้”

‘เพราะฉะนั่นทุกอย่างที่ฉันจะทำหลังจากนี้…ฉันจะทำเพื่อนาย เพื่อให้นาย อิกนิส กลาดิโอ้และทุกๆคนได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง!…เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าไปเลยนะพรอมพ์โต้’

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

‘จากตรงนี้ ถอยกลับไม่ได้แล้วนะ พยายามเข้าละ ฝ่าบาท!’

นั้นคือประโยคสุดท้ายที่เขาพอจะพูดได้ก่อนที่น็อคทิสจะยิ้มบางๆให้เขาท่ามกลางสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาราวกับรับรู้ถึงจิตใจของทุกคนแล้วหันหลังมุ่งหน้าเดินเข้าพระราชวังซิทาเดลเพื่อไปสู่ห้องโถงท้องพระโรงที่ที่คริสตัลแห่งแสงกำลังตั้งตระหง่านรอคอยราชาผู้ถูกเลือกแห่งดวงดาวขึ้นครองราชย์อย่างสมบูรณ์

ทั่วทั้งร่างเจ็บสะท้านจนแทบจะขยับตัวไม่ได้แต่พรอมพ์โต้ก็อดทนกันฟันสู้กับมัน เขาไม่บ่นไม่โวยวายใดๆแต่ค่อยๆฝืนพาร่างกายที่บอบช้ำใต้ชุดคราวน์การ์ดที่ชุ่มเหงื่อและหยาดฝนเปิดบานประตูที่หนักหนาของราชวังแห่งลูซิสเข้าไป เขาไม่ห่วงอีกสองคนมากนักเพราะรู้แก่ใจดีว่ากลาดิโอลัสจะเดินเคียงข้างอิกนิสเสมอ ทั้งสองคนคือคนที่รู้ใจซึ่งกันและกันดีที่สุด

ม่านตาสีฟ้าใสกระจ่างเหลือบเงยขึ้นมองภาพวาดกลางห้องโถงรับรองกว้างภายในพระราชวัง ภาพของคำทำนายที่ยาวนานนับพันปี ภาพที่เขาไม่เคยเข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ของมันมาก่อน….ภาพวาดของราชันผู้ได้รับพรอันประเสริฐจากทวยเทพเคียงข้างด้วยสหายร่วมมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อีกสามคน ทั้งสี่ร่วมมือกันต่อสู้กับปีศาจร้ายขับไล่ความมืดมิดและโรคระบาดแห่งดวงดาวที่ทำให้มนุษย์กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สติสัมปะชัญญะ รวมทั้งช่วยฟื้นคืนแสงสว่างให้กับอีออสอีกครั้ง

น่าขันที่ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจของมันสักนิด เขาทำได้เพียงแค่รับฟังมันผ่านหูไปราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่ประการใด แต่เพิ่งจะมาได้ล่วงรู้และเข้าใจมันเอาตอนนี้…และเขาจะต้องสูญเสียคนที่รักที่สุดไปอย่างไม่มีหวนกลับคืนได้

พรอมพ์โต้พาร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างยากลำบากของตนเองมาจนถึงบานประตูห้องท้องพระโรง ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดเจ็บจากการเหนี่ยวไกปืนสั่นสะท้านยามที่มันเอื้อมขึ้นไปสัมผัสความเยือกเย็นของแผ่นหินสีดำหนักและหนา
“นายไหวนะ?” เสียงทุ้มหนักๆของราชองครักษ์ตัวโตทักขึ้นจากด้านหลัง

“ถ้านายยังไม่โอเคเราพักกันตรงนี้ก่อนก็ได้นะพรอมพ์โต้” อิกนิสยังคงนิ่งสงบไม่เคยเปลี่ยน..แต่พรอมพ์โต้เชื่อว่าอิกนิสคงกำลังเสียใจไม่แพ้กัน

เขานิ่งงันไปสักพักก่อนจะเอี้ยวศีรษะหันกลับไปสั่นหัวน้อยๆจนหยดน้ำกระเซ็นออกจากจากปลายผมสีทองที่เปียกลู่ตกลงสู่พื้นดังเปาะแปะเบาๆ

“อือ ไม่เป็นไร ฉันยังไหวสบายมาก”

“หึ แน่ใจนะไอลูกหมาน้อย”กลาดิโอลัสอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะวางมือโตๆของตัวเองบหัวอีกฝ่ายแล้วออกแรงแกล้งขยี้กลุ่มก้อนผมสีทองที่ยุ่งเหยิงนั้น

“โอ้ย กลาดิโอ้อย่าแกล้งฉันแบบนี้สิ” พรอมพ์โต้ได้แต่โวยวายเพราะยังไงก็สู้แรงหมีๆของคนตัวโตสูงใหญ่ไม่ได้

“กลาดิโอ้ อย่าแกล้งพรอมพ์โต้สิ!!” เสียงนิ่งของอิกนิสดุออกมา

“อ่า…รู้แล้วน่า ดุเป็นแม่หวงลูกเชียวนะ” กลาดิโอลัสหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะเดินกลับไปยืนข้างๆราชเลขานุการจอมเนี๊ยบ ทันทีที่ร่างใหญ่เดินไปยืนขนาบด้านข้างเขาก็โดนข้อศอกของอีกคนกระทุ้งแรงๆเข้าที่กลางท้องหนึ่งดอกโทษฐานที่กล้ามาปากกล้าใส่จนพรอมพ์โต้อดไม่ได้หลุดขำออกมา

“พวกเรา…เข้าไปหาน็อคท์กันข้างในเถอะ”

“อือ!”

บานประตูหนักหนาถูกผลักเปิดออก ความเงียบสงบโรยตัวรอบโถงท้องพระโรงที่แสนโออ่าใจอันเปรียบเสมือนใจกลางของอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ลูซิสอันเกรียงไกร ความมืดยังคงกลืนกินผนังหินสีดำที่ส่งผ่านไอเย็นเฉียบออกมา

จุดรวมสายตาทุกคู่พุ่งมองขึ้นไปบนบังลังค์เหนือบนไดที่ทอดยาวขึ้นไปตรงสุดปลายโถงอีกฝั่ง เบื้องหลังของบังลังค์ใหญ่คือหินคริสตัลที่กำลังทอประกายแวววาวขับไล่ความมืดรอบด้านไปจนหมดสิ้น

ร่างของราชันแห่งแสงสว่างประทับนิ่งอยู่เหนือบังลังค์ ใบหน้าคมคายเป็นเอกลักษณ์นั้นสงบนิ่งราวกับอีกฝ่ายเพียงแค่หลับใหลไปเฉกเช่นทุกครั้ง ทว่าต่างกันตรงที่ช่วงอกติดกับหน้าท้องของน็อคทิสกลับมีดาบแห่งราชันอันเป็นอาวุธประจำพระองค์ของอดีตราชารีจิส ลูซิส เคลัมตรึงติดอยู่

ต่อให้เตรียมใจมามากแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานความเศร้าอาดูรที่ระรื่นขึ้นมาในใจได้ยามที่ได้มาเห็นภาพตรงหน้า

พรอมพ์โต้ยอบตัวลงด้านข้างราชบังลังค์แห่งลูซิส มือที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเอื้อมไปประคองดวงหน้าของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนนั้นแผ่วเบา…เหมือนน็อคทิสเพียงแค่หลับใหลไป

“เราควรพาเขาออกมา” อิกนิสที่ยืนนิ่งนานเอ่ยขึ้นเบาๆ

พรอมพ์โต้กับอิกนิสช่วยกันประคองร่างของน็อคทิสขึ้นเพื่อเปิดช่องให้กับกลาดิโอลัสได้ออกแรงดึงดาบที่ปักตรึงเอาไว้ออก ทันทีที่มือหนาดึงเหล็กกล้าที่แทงทะลุร่างโปร่งออก ร่างกายของน็อคทิสก็อ่อนยวบลงจนพรอมพ์โต้ต้องรีบคว้ามากอดเอาไว้แน่นๆ

หยาดน้ำใสๆเผลอหลั่งรินออกมาจากหางตาตกกระทบบนดวงหน้าของราชาผู้ล่วงลับในอ้อมแขนจนเขาต้องรีบปาดมันทิ้งไปอย่างว่องไว

น็อคทิสบอกว่าไม่อยากให้เขาเศร้า ถึงมันจะยากแค่ไหนพรอมพ์โต้ก็จะพยายาม

ตรงมุมขอบฟ้าไกลลิบๆเริ่มมีแสงสีทองจางๆลอดผ่านความมืดมิดอันยาวนานขึ้นมา ก่อนที่ความสว่างไสวและไออุ่นของดวงตะวันแรกจะค่อยๆขยับแผ่ขยายออกกว้างขึ้นเรื่อยๆขับไล่ความหนาวเย็นของรัตติกาล

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วสินะ” เสียงของกลาดิโอลัสเรียกให้ชายหนุ่มอีกสองคนหันออกไปขอบฟ้าผ่านซากปรักหักพังที่ของท้องพระโรงที่ถูกทำลายโดยฝีมืแกองทัพจักรวรรดินิฟเฟลไฮม์เมื่อหลายปีก่อนการล่มสลาย

“อิกนิส..นายรู้สึกได้ใช่ไหม?” พรอมพ์โต้เงยหน้าขึ้นไปถามอีกคน

“ถ้าด้วยองศาของอุณหภูมิก็ใช่…แต่ถึงจะมองเห็นไม่ชัดฉันก็รู้สึกได้ว่าโลกเบื้องหน้าฉันสว่างขึ้นกว่าแต่ก่อน” อิกนิสเหม่อมองออกไปด้านนอกที่เริ่มมีแสงแดดอาบไล้ทั่วอาณาบริเวณด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

พรอมพ์โต้ยิ้มบางๆกลับให้ก่อนจะโน้มหน้าของตนเองลงไปหาน็อคทิสอ้อมแขนตนเอง ริมฝีปากที่แห้งและและแตกนาบข้างใบหูนิ่มพร้อมส่งเสียงกระซิบเบาๆให้อีกฝ่ายได้ยิน

พวกเราได้มาชมแสงอาทิตย์แรกที่นายตั้งใจอยากให้เราเห็นด้วยกันแล้ว แถมได้ชมที่ลูซิสบ้านของพวกเราด้วย ตอนนี้นายก็สามารถปิดตาแล้วหลับพักผ่อนให้สบายได้แล้วนะน็อคท์

ก่อนนายจะไปนายบอกฉันว่า ฉันคือแสงสว่างของนายตลอดช่วงที่นายหลับใหลไป แต่นายเองก็เป็นแสงสว่างของฉันและโลกใบนี้ของฉันด้วยนะ น็อคทิส ลูซิส เคลัม!

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

:

: